กว่าจะมาเป็นผ้าไหมไทย

ผ้าไหม ถือเป็นมรดกอันล้ำค่าของเมืองไทย มีความงดงามของเส้นไหมที่เป็นเอกลักษณ์ลวดลายที่บ่งบอกถึงความเป็นไทย ความสวยงามมีเสน่ห์แบบไทย เป็นการแสดงถึงความประณีตของคนไทยที่มีมาแต่ในอดีต มีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบซึ่งยังสืบต่อมา ในปัจจุบันยังคงมีการสร้างสรรค์ผลงานจากผ้าไหมในรูปแบบต่างๆ มากยิ่งขึ้นทำให้เป็นผ้าไทยที่ได้รับความนิยม และโด่งดังไปทั่วโลก แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าจะสำเร็จมาเป็นผ้าไหมหนึ่งผืน จะต้องผ่านกระบวนการหลากหลายขั้นตอน จะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ตามไปดูกันเลย


กระบวนการทอผ้าไหม

ในกระบวนการทอผ้าไหมนี้ จะเป็นขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้ายของการทอผ้าไหม ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้


1. การเลี้ยงไหม

ในยุคที่อุตสาหกรรมไหมยังไม่เฟื่องฟู ชาวบ้านยังนิยมเลี้ยงไหมพันธุ์พื้นเมือง โดยไปขอ “แนว” หรือ เชื้อพันธุ์ในขณะที่ยังเป็นไข่และรังไหมจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนบ้าน วงจรชีวิตของหนอนไหม หรือที่คนอีสานเรียกว่า “โตหม้อน” มีเวลาประมาณ 45 วัน เมื่อฟักตัวจากไข่ หนอนไหมจะกินใบหม่อน ซึ่งคนอีสานเรียกว่า “ใบมอน”
ตามหลักชีววิทยาแบบชาวบ้าน ช่วงชีวิตหนอนไหม จะแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ตามการกิน การนอน และการลอกคราบ เรียกว่า “ไหมนอน” (ไหมนอน1, ไหมนอน2, ไหมนอน3, ไหมนอน4) เมื่อครบ 4 ระยะ ก็จะให้อาหาร “ไหมตื่น” อีกประมาณ 8-9 วัน จากนั้นตัวไหมจะเริ่มมีสีเหลืองอมส้มหดสั้น และหยุดการกินอาหาร ระยะนี้เรียกว่า “หนอนสุก” ในช่วงนี้ผู้เลี้ยงไหมต้องรีบแยกหนอนไหมสุกออกจากกองใบหม่อน และเตรียม “จ่อ” คืออุปกรณ์ที่จะให้ตัวไหมเกาะเพื่อชักใยห่อหุ้มตัว หนอนจะเริ่มพ่นใยได้ประมาณ 7-8 วัน ก็จะสามารถเก็บรังไหมออกจากจ่อได้ รังไหมแต่ละรังจะให้สายไหมที่มีขนาดแตกต่างกัน ชั้นนอกสุดของรังจะมีความละเอียดพอสมควร ชั้นกลางจะเป็นเส้นหยาบและชั้นในสุดจะเป็นเส้นไหมที่ละเอียดที่สุด ซึ่งหนอนไหมแต่ละตัวจะชักใยยาวไม่เท่ากัน


2. การสาวไหม

การสาวไหม จะเริ่มจากการต้มน้ำให้เดือด แล้วเอารังไหมใส่ลงไปต้มในน้ำร้อน ใช้ไม้หืบ ซึ่งปลายด้านหนึ่งจะเป็นง่าม ใช้สำหรับเกลี่ยรังไหมให้ทั่ว รังไหมจะเริ่มพองตัวออก ทิ้งไว้สักครู่แล้วทำการดึงเส้นใยออกจากรังไหม โดยใช้ปลายไม้หืบเกี่ยวเส้นใยออกมารวมกันหลายๆ เส้น ผ่านพวงสาว แล้วดึงลงไปไว้ในภาชนะที่เตรียมไว้ ซึ่ง ไหมที่ได้จากสาวในชั้นต่างๆ จะมีลักษณะและคุณภาพแตกต่างกันออกไป ดังนี้

1. ไหมล่วงหรือไหมเลย เป็นการสาวไหมครั้งเดียวจนเส้นใยหมดจากรังไหม เส้นค่อนข้างใหญ่ คุณภาพปานกลาง

2. ไหมลืบ คือ เส้นไหมเปลือกนอก การสาวไหมลืบจะสาวเอาเฉพาะเปลือกนอก แล้วตักรังไหมออกมาพักไว้ ทำเช่นนี้จนหมดรังไหมที่จะสาวในแต่ละวัน ไหมที่ได้จะแข็ง ความมันวาวมีน้อย คุณภาพด้อยกว่าไหมล่วง

3. ไหมน้อย เป็นไหมชั้นดี โดยการนำรังไหมที่พักไว้จากการสาวไหมลืบมาสาวอีกครั้ง จะทำให้ได้ไหมเส้นเล็กสวยงามสม่ำเสมอ มีความมันวาวกว่าไหมอื่นๆ

4. ไหมขี้กะเพย เป็นไหมชั้นในสุดรวมทั้งเปลือกที่หุ้มดักแด้ไว้ เส้นไหมที่ได้จะมีลักษณะปุ่มปมติดเปลือกดักแด้ เรียกว่าขี้ไหม ถือว่า มีคุณภาพน้อยที่สุด

หลักจากการสาวไหมจนได้เส้นไหมประเภทต่างๆ แล้วจึงนำเอาเส้นไหมมากรอเข้ากง แล้วนำไปหมุนเข้าอัก เพื่อตรวจหาปุ่มปม หรือตัดแต่งเส้นไหมที่ไม่เท่ากันออก จึงเอาเข้าเครื่องปั่นเพื่อให้เส้นไหมแน่นขึ้น ก่อนที่จะหมุนเข้ากงอีกครั้ง เพื่อรวมเป็นใจ ซึ่งหนึ่งใจจะต้องหมุนกงราว 80 รอบ เรียกว่า “ไหมดิบ”


3. การเตรียมเส้นไหม

ไหมดิบต้องนำมาผ่านกรรมวิธีทำให้เส้นใยอ่อนนุ่ม ด้วยการ “ด่องไหม” (ฟอกไหม) คือนำไหมดิบไปต้มใยน้ำด่างเดือดประมาณ 15-20 นาที แล้วนำไปสลัดและผึ่งลมให้แห้ง แล้วจึงนำมากวักเพื่อให้เส้นใยไหมติดต่อกันเป็นเส้นเดียว โดยใช้กงและอัก

1. การเตรียมเส้นยืน (ทางเครือ) คือ การนำเส้นใยไปเรียงโดยใช้หลักเฝือ ให้ได้ขนาดความยาวหรือจำนวนผ้าที่ต้องการทอแต่ละครั้ง เพื่อนำไปย้อมต่อไป

2. การเตรียมเส้นพุ่ง (ทางตำ) คือ การนำเอาเส้นใยที่กวักเรียบร้อยแล้ว ไปใส่โฮงค้นหมี่เพื่อเตรียมการมัดหมี่ ด้วยการเรียงเส้นไหมขึ้นและลงตามหลักของโฮงค้นหมี่



4. การย้อมสี

การย้อมสีไหมในสมัยก่อนนิยมใช้สีจากธรรมชาติ เช่น สีแดงจากครั่งหรือรากยอป่า สีเหลืองจากแก่นต้นเข สีจำปาหรือสีส้มจากดอกกรรณิการ์ สีน้ำตาลจากต้นหมาก สีดำจากมะเกลือ เป็นต้น แต่ปัจจุบัน นิยมย้อมด้วยสีเคมีที่หาซื้อได้ง่าย ย้อมติดง่าย สีสดใส ราคาค่อนข้างถูกกว่าการย้อมด้วยสีธรรมชาติ การศึกษาผ้าโบราณเมืองอุบลราชธานี พบว่ามีการใช้สีเคมีมาอย่างน้อย 90 ปีแล้ว

5. การสืบหูก

การสืบหูก คือ กรรมวิธีการนำเอาเส้นยืน (ทางเครือ) ที่ย้อมเรียบร้อยแล้วมาร้อยเข้ากับช่อง “แข้วฟืม” (ฟันฟืม;ฟันหวี) หากฟืมมีเส้นด้ายเดิมที่มีเขาหรือตะกออยู่ ก็ใช้วิธีต่อเส้นใยเข้าได้ทันที เรียกว่า การสืบเส้นยืน แต่ถ้าไม่มีเส้นด้ายเดิมติดอยู่ ต้องใช้วิธีร้อยเส้นยืนจากตรงกลางของฟืม ทั้งนี้เพื่อให้ทั้งสองด้านเท่ากันนั่นเอง ฟืมที่มีเส้นยืนพร้อมที่จะทอได้ เรียกว่า “หูก” เมื่อจะทอผ้าต้องนำหูกไปกางที่กี่ ซึ่งนิยมตั้งไว้ใต้ถุนบ้านในตอนเช้า ตอนเย็นจะนำหูกขึ้นไปเก็บบนบ้านเรียกว่า กู้หูก โดยการม้วนเส้นยืนมารวมกันไว้ที่ฟืม แล้วใช้เชือกด้านล่างของเขาขึ้นมาผูกยึดไว้กับฟืม ปลดไม้หาบหูกลงแล้วนำขึ้นไปเก็บเพื่อความปลอดภัย แต่ปัจจุบันไม่นิยมกางหูก กู้หูกทุกวันเหมือนในอดีตแล้ว

6. การทอผ้า

หลักของการทอผ้า คือ การทำให้เส้นใยสองกลุ่มขัดกัน โดยทั้งสองตั้งฉากกัน เส้นใยกลุ่มหนึ่งเรียกว่า เส้นยืน (ทางเครือ) และอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า เส้นพุ่ง(ทางตำ/ต่ำ) ทอสลับกันไปตลอดความยาวของผืนผ้า การสอดเส้นพุ่งแต่ละเส้นต้องสอดให้สุดถึงแต่ละด้าน แล้วจึงวกกลับมา จะทำให้เกิดริมผ้าเป็นเส้นตรงทั้งสองด้าน ส่วนลวดลายของผ้านั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคต่างๆ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือ ผ้าทอ เมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัย

สามารถติดตามพวกเราได้ที่

Siamcraft - สยามคราฟต์ผ้าไหมไทย

Comments

Popular posts from this blog

ไหมทอมือทิวมุกจกดาว เมืองอุบลฯ

ผ้ากาบบัว เมืองอุบลราชธานี

ผ้าไหมแพรวา ภูมิปัญญาล้ำค่าของกาฬสินธุ์