ผ้าไหมแพรวา ภูมิปัญญาล้ำค่าของกาฬสินธุ์


" หลวงพ่อองค์ดำลือเลือง เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไท

ผ้าไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี "

ในปัจจุบัน ผ้าไหมแพรวากลายเป็นศิลปหัตถกรรมดีเด่นประจำจังหวัด กาฬสินธุ์ ดั่งที่ปรากฏในคำขวัญประจำจังหวัดที่ว่า “หลวงพ่อองค์ดำลือเลื่อง เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไท ผ้าไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์สัตว์โลกล้านปี” เพื่อเป็นการอนุรักษ์ผ้าไหมแพรวาให้เป็นสิ่งทอคู่บ้านคู่เมืองของชาวกาฬสินธุ์

เมื่อกล่าวถึง “ผ้าไหมแพรวา” ศิลปหัตถกรรมของชาวผู้ไทที่ได้รับสมญาณนามว่า “ราชินีแห่งผ้าไหม” ของดีประจำจังหวัด กาฬสินธุ์ สิ่งทอมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวภูไทที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศและก้าวสู่เวทีระดับโลก แต่เดิมผ้าไหมแพรวามาพร้อมกับวัฒนธรรมของชาวภูไท ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีถิ่นกำเนิดในบริเวณ แคว้นสิบสองจุไทย ได้อพยพย้ายถิ่นฐานผ่าน เวียดนาม ลาวและข้ามฝั่งแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่แถบเทือกเขาภูพานทางภาคอีสานของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร และสกลนคร โดยชาวภูไทยังคงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ การแต่งกาย และการทอผ้าไหม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษของตนและได้รับการพัฒนาจากคนรุ่นหลังอย่างต่อเนื่องผ้าแพรวาจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของชาวภูไท



รูปแบบของผ้าไหมแพรวา

ผ้าไหมแพรวาที่บ้านโพนส่วนใหญ่มีลักษณะโครงสร้างของผืนผ้าเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดความกว้างประมาณ 50-55 เซนติเมตร มีขนาดความยาวประมาณ 1 วา ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะ จะนำไปใช้ห่มพันหน้าอกรอบลำดับส่วนบนของสตรี และพาดคลุมบ่าด้านหนึ่งลงมา ทิ้งชายห้อยสั้นๆที่ด้านหน้าอกและด้านหลังของสตรีพอดี

กรรมวิธีในการทอผ้าไหมแพรวา

ทอผ้าแพรวาของชาวผู้ไท ลักษณะคล้ายกับการทอผ้าพื้นเมือง ของหลายๆจังหวัดของภาคอีสาน คือ เริ่มตั้งแต่เลี้ยงตัวไหม สาวไหม และย้อมไหม เพื่อนำมาใช้ในการทอ แต่ผ้าแพรวาจะแตกต่างกับผ้าทอชนิดอื่นๆ ที่ความประณีต ลวดลายและสีสันของผ้าทอ โดยมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาการทอผ้าในรูปแบบของ “ผ้าแซ่ว” คือผ้าที่รวบรวมลายเพื่อใช้เป็นแม่แบบในการประดิษฐ์ลายผ้าของแต่ละครอบครัว ผ้าแซ่วจะมีขนาด 30 × 30 เซนติเมตรและมีการทอลวดลายไว้เต็มผืนผ้า โดยทุกบ้านจะมีผ้าแซ่ว ที่ใช้สำหรับการทอผ้าไหมแพรวา 1-2 ผืน เพื่อใช้ในกระบวนการขิดและกรรมวิธีการจก

กระบวนการขิดจะใช้วิธีเก็บลายขิดบนผ้าพื้นเรียบโดยใช้ไม้เก็บขิด คัดเก็บขิดยกลายโดยต้องนับจำนวนเส้นไหมแล้วใช้ไม้ลายขิดสานเป็นลายเก็บไว้ ในการทอเก็บลายจะแบ่งเป็นช่วง แต่ละช่วงเก็บลายไม่เหมือนกัน ส่วนที่อยู่ตรงปลายต่อกับผ้าเรียบเป็นการเก็บขิดดอกเล็ก ส่วนต่อไปเป็นการเก็บขิดดอกใหญ่ เรียกว่า “ดอกลายผ้า” ใช้ไม้ในการเก็บลายต่างกัน ส่วนกรรมวิธีการจกคือ การยกเส้นด้ายยืนแล้วสอดเส้นไหมสีซึ่งเป็นเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปในผืนผ้า ทำให้เกิดลวดลายผ้าที่ต้องการนั้น การทอแพรวาแบบผู้ไทแท้นั้นจะไม่ใช้อุปกรณ์อื่นช่วย ไม่ว่าจะเป็นเข็ม ไม้ หรือขนเม่น แต่จะใช้นิ้วก้อยจกเกาะเกี่ยว และสอดเส้นไหมสีซึ่งเป็นเส้นพุ่งพิเศษแล้วผูกเก็บปมเส้นด้ายด้านบนเพื่อให้เกิดลวดลาย โดยใช้การเกาะลายด้วยนิ้วก้อยตลอดจากริมผ้าข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งตลอดทั้งแถว เขาไม้หนึ่งจะเกาะสองครั้งเพื่อให้ลวดลายมีความสวยงาม โดยลวดลายจะอยู่ด้านล่างของผืนผ้าในขณะทอ

เอกลักษณ์ของผ้าไหมแพรวา

ลวดลายของผ้าไหมแพรวาจะมีลักษณะเฉพาะ ลวดลายที่ได้จะมาจากผ้าแซ่ว ซึ่งจะระบุชื่อและลวดลายต่างๆ มากกว่า 60 ลาย เช่น ลวดลายดอกดาวน้อย ลายตาบ้ง ลายดอกจันทร์ เป็นต้น โดยลักษณะเด่นของลายผ้าแพรวาที่ดีจะลักษณะคล้ายคลึงกับลายขิดอีสาน รูปทรงขนมเปียกปูน แตกต่างที่มีความหลากลายของสีสัน แต่เดิมนิยมพื้นสีแดงคล้ำย้อมด้วยครั้ง มีลายจก สีเหลือง สีน้ำเงิน สีขาว และสีเขียวเข้มกระจายทั้งพื้น ลายสม่ำเสมอตลอดทั้งผืน ไม่มีรอยด่าง และผืนหนึ่งจะมีอยู่ประมาณ 10 หรือ 12 ลาย จะใช้เส้นไหมในการทอตั้งแต่ 2-9 สี สอดสลับในแต่ละลายแต่ละแถว ลวดลายที่ปรากฏจะประณีตเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันตลอดทั้งผืนผ้า ผ้าทอแพรวาจะประกอบด้วยตัวลายทั้งหมด 3 ส่วน ดังนี้


1. ลายหลัก คือลายที่มีขนาดใหญ่อยู่ในแนวนอน กว้างประมาณแถวละ 8-12 เซนติเมตร ผ้าแพรวาผืนหนึ่งจะมีลาย หลักประมาณ 13 แถว ได้แก่ ลายนาคสี่แขน ลานพันธุ์มหา ลายดอกสา ฯลฯ ส่วนประกอบสำคัญของลายหลัก คือ ลายนอก ลายใน และลายเครือ

2. ลายคั่น หรือลายแถบ คือลายที่มีขนาดเล็กอยู่ในแนวขวางผืนผ้า ความกว้างของลายประมาณ 4-6 เซนติเมตร ทำหน้าที่เป็นตัวแบ่งลายใหญ่ออกเป็นช่วงๆสลับกันไป เช่น ลายตาไก่ ลายงูลอย ลายขาเข ฯลฯ

3. ลายช่อปลายเชิง หรือลายเชิงผ้า คือลายที่ปรากฏอยู่ตรงช่วงปลายของผ้าทั้งสองข้าง ทอติดกับลายคั่นทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มและตัวจบของลายผ้า มีความกว้างประมาณ 4-10 เซนติเมตร เช่น ลายช่อขันหมาก ลายดอกบัวน้อย ลายใบบุ่นน้อย ฯลฯ

ลักษณะลายผ้าของแพรวา

ลักษณะลายผ้าของแพรวาที่ทอในปัจจุบัน แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ผ้าแพรวาลายล่วง ผ้าแพรวาลายจก และผ้าแพรวาลายเกาะ ดังนี้

1. ผ้าแพรวาลายล่วง หมายถึง ผ้าแพรวาที่มีลวดลายเรียบง่าย มีสองสี สีหนึ่งเป็นสีพื้นส่วนอีกสีเป็นลวดลาย

2.ผ้าแพรวาลายจก หมายถึง ผ้าแพรวาลายล่วงที่มีการเพิ่มความพิเศษโดยการจกเพิ่มดอกเข้าไปในลายล่วงบนผืนผ้า เพื่อแต้มสีสันให้สวยงามยิ่งขึ้นแต่สีจะไม่หลากหลายสดใสเหมือน แพรวาลายเกาะ

3.ผ้าแพรวาลายเกาะ หมายถึง ผ้าแพรวาที่มีลวดลายและสีสันหลายสีเกาะเกี่ยวพันกันไป ลวดลายที่ใช้ทอแพรวาลายเกาะส่วนใหญ่เป็นลายดอกใหญ่ซึ่งเป็นลายหลักของการทอผ้าแพรวา

เส้นทางสู่สากลของผ้าไหมแพรวา

เส้นทางของผ้าไหมแพรวามีระยะเวลายาวนานหลายชั่วอายุคนทำให้ผ้าทอมือชนิดนี้เกือบจะ สูญหายไปจากท้องถิ่นไทย จวบจนเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (รัชกาลที่ 9) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับงานทอผ้าไหมแพรวาไว้ในโครงการส่งเสริมการทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และโปรดเกล้าฯ ให้พัฒนาการทอผ้าไหมแพรวา ให้เพิ่มสีสัน ลวดลาย ขยายฟีมให้มีขนาดกว้างและทอผ้าสีพื้นประกอบให้มีความยาวสามารถตัดเป็นชุดสุภาพสตรีและเสื้อสุภาพบุรุษได้

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงส่งเสริมการผลิตรวมทั้งสร้างสรรค์ฝีมือให้ประณีต สวยงาม ส่งเสริมการทอผ้าไหมแพรวาให้เป็นอาชีพเสริมแก่ราษฎร เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ครอบครัวและชุมชน ขยายผลไปยังหมู่บ้าน/ตำบล/อำเภอ/จังหวัดใกล้เคียง ผ้าไหมแพรวาได้รับการยอมรับว่า แพรวาราชินีแห่งไหมและขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์




ขอขอบคุณข้อมูลจากบทความ

“ผ้าไหมแพรวา” ราชินีแห่งไหม ชาวภูไทกาฬสินธุ์

Comments

Popular posts from this blog

ไหมทอมือทิวมุกจกดาว เมืองอุบลฯ

ผ้ากาบบัว เมืองอุบลราชธานี